นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนเจรจาซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งในกลุ่มพอร์ตสินเชื่อรายย่อยที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งเตรียมขยายไปสู่สินเชื่อประเภทอื่น ๆ ทั้งสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อรถยนต์ที่คาดว่าจะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากผลพวงจากนโยบายรถคันแรก สำหรับผลประกอบการในปี 56 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 30% ส่วนรายได้คาดเติบโตราว 15%

นายปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงิน 4-5 แห่งเพื่อซื้อหนี้เสียจากสินเชื่อรายย่อยเข้ามาบริหาร ภายใต้เป้าหมายหลักที่บริษัทต้องการซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารเพิ่มขึ้นปีละ 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าการเจรจาจะมีความชัดเจนภายในปีหน้า โดยในเดือน ม.ค.56 น่าจะมีความชัดเจนในการซื้อหนี้อย่างน้อย 1 ราย

บริษัทยังมีแผนจะขยายการบริหารหนี้ไปยังสินเชื่อประเภทอื่น เช่น สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ จากปัจจุบันที่เน้นการบริหารสินเชื่อส่วนบุคคล(Retail)เป็นหลัก โดยขณะนี้บริษัทได้ยื่นจดทะเบียนตั้ง AMC เพื่อสิทธิในการบริหารหนี้สินประเภทดังกล่าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาเจรจาค่อนข้างนาน เนื่องจากมีรายละเอียดของการบริหารจัดการสินทรัพย์ค้ำประกัน จึงยังไม่น่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีนี้ ดังนั้น ในช่วงนี้บริษัทก็จะอยู่ในขั้นศึกษาและจัดเตรียมบุคลากรก่อน

นอกจากนั้น บริษัทยังมองโอกาสการบริหารหนี้เสียเพิ่มเติมจากผลของมาตรการรถยนต์คันแรก โดยประเมินว่าจะมีอัตราการเกิดหนี้เสียในระบบประมาณ 20% ของมูลหนี้สินเชื่อซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นการคำนวณจากรายได้เฉลี่ยของประชากรภายใต้มาตรการดังกล่าวที่อยู่ในระดับ 25,000 บาท/เดือนเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วเชื่อว่ารายได้น่าจะไม่เพียงพอกับรายจ่าย

นายปิยะ กล่าวต่อว่า บริษัทจะเริ่มเข้าไปเจรจากับกลุ่มลิสซิ่งเพื่อเตรียมตัวสำหรับการซื้อหนี้เสียในกลุ่มดังกล่าวเข้ามาบริหารหลังจากมีการส่งมอบรถแล้วประมาณ 6 เดือน ซึ่งจะเน้นรถยนต์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงและมีระยะเวลาการผ่อนที่ยาวถึง 60 เดือน